content
การทำงานแบบ Hybrid Working คือะไร
การทำงานแบบ Hybrid Working คือ การผสมผสานกันระหว่างรูปแบบ Work From Home หรือการทำงานที่บ้านกับการทำงานในออฟฟิศ ซึ่งพนักงานสามารถแบ่งช่วงเวลาในแต่ละสัปดาห์ตามความเหมาะสม หรือตามข้อกำหนดที่บริษัทระบุเอาไว้ เช่น เข้าออฟฟิศ 2 วัน ทำงานที่บ้าน 3 วัน ถือเป็นไลฟ์สไตล์การทำงานแบบใหม่ที่กำลังมาแรงและได้รับความนิยมสูงมากโดยเฉพาะกับบริษัทญี่ปุ่นและองค์กรขั้นนำหลายแห่งทั้งในเมืองไทยและทั่วโลก
มากไปกว่านั้นการทำงานในลักษณะดังกล่าวอาจไม่ได้หมายถึงการทำงานที่บ้านเสมอไป แต่สามารถระบุเป็นการทำงานนอกออฟฟิศ นอกสถานที่ก็คงไม่ผิดเท่าไหร่นัก เช่น พนักงานอาจไปนั่งทำงานที่ร้านกาแฟ ร้านคาเฟ่ อยู่ต่างจังหวัด หรืออื่น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ แต่สิ่งสำคัญคือผลของงานต้องออกมาตามเป้าหมายหรือตามความคาดหวังขององค์กรจึงถือว่าเป็นวิธีทำงานที่ประสบผลสำเร็จต่อบุคคล แผนก หรือต่อองค์กรดังกล่าว
ข้อดีของการทำงานแบบ Hybrid Working
เมื่อไลฟ์สไตล์การทำงาน การใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป บวกกับเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามามีบทบาทต่อทุกคนมากขึ้น จึงเกิดเป็นการทำงานในลักษณะ Hybrid Working นี้ขึ้นมา ซึ่งคนที่ทำงานอยู่บริษัทญี่ปุ่นหรือองค์กรใดก็ตามจะได้รับประโยชน์จากข้อดีในหลายด้าน ดังนี้
- ประหยัดค่าใช้จ่ายของทั้งพนักงานและองค์กร
เมื่อพนักงานไม่จำเป็นต้องเสียค่าเดินทางไป-กลับด้วยตนเอง ขณะที่องค์กรก็ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ถือเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับทั้ง 2 ฝ่าย เรียกว่าได้ประโยชน์จากสิ่งนี้กันถ้วนหน้า เซฟต้นทุนของตนเองอีกพอสมควร
- สามารถสร้าง Work Life Balance ของตนเองได้
การมี Work Life Balance คือเรื่องสำคัญของการใช้ชีวิต บางคนทุ่มเทให้กับงานมากไปจนเกิดภาวะความเครียด และเสียสุขภาพในด้านอื่นตามมาอีกเยอะมาก แต่เมื่อคุณไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทางวันละหลายชั่วโมงเพื่อเข้าออฟฟิศ นั่นเท่ากับมีเวลาตื่นช้ามากขึ้น ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คน ไม่ต้องกังวลกับปัญหารถติดบนท้องถนน สุขภาพจิตดีขึ้น จัดการตารางเวลาชีวิต พร้อมสร้างไลฟ์สไตล์การทำงานให้ดีได้มากกว่าเดิม
- ประสิทธิภาพของการทำงานมากขึ้นกว่าเดิม
บางคนอาจมองว่าการทำงานแบบ Hybrid Working จะสร้างผลเสียเรื่องความรับผิดชอบ แต่เรื่องจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง พนักงานหลายคนต่างชื่นชอบการทำงานโดยที่ตนเองไม่ต้องเหนื่อยเดินทางมากไป จึงมีเวลาทุ่มเทให้กับงานได้แบบเต็มที่ เมื่อบวกกับพื้นฐานความเข้าใจที่อยากแสดงให้เห็นว่าตนเองพร้อมทำงานลักษณะดังกล่าวแบบไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศก็มีผลงานสร้างสรรค์ หรือทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานได้ จึงไม่แปลกที่ประสิทธิภาพของงานจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
- ลดปัญหา Burn Out ในการทำงาน
คนเราหากอยู่ที่เดิมติดต่อกันเป็นเวลานาน ความน่าเบื่อ หรืออาการหมดไฟสามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งภาวะดังกล่าวเรียกว่า Burn Out บริษัทญี่ปุ่นเล็งเห็นปัจจัยตรงนี้จึงมีการปรับรูปแบบให้พนักงานสามารถสับเปลี่ยนเข้าออฟฟิศและทำงานแบบ Work From Home ได้ตามความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับระบบจัดการของแต่ละแผนก ช่วยสร้างไฟในการทำงานให้ลุกโชนอยู่ตลอด ไม่ต้องเจอกับสภาพแวดล้อมเดิม บรรยากาศเก่า ๆ ส่งผลถึงการขาดแรงบันดาลใจอีกต่างหาก
การทำงานแบบ Hybrid Working เทรนด์นี้จะตอบโจทย์อีกนานแค่ไหน
ตราบใดที่ผู้คนยังคงรู้สึกดีกับการทำงานแบบ Hybrid Working ไม่ว่าจะเป็นคนในองค์กรบริษัทญี่ปุ่นหรือหน่วยงานใดก็ตาม ไลฟ์สไตล์การทำงานนี้จะยังคงเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมต่อไป เพราะเมื่อไหร่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาดรุนแรงซ้ำ หรืออื่น ๆ พนักงานทุกคนจะคุ้นชินกับการทำงานที่บ้าน ทำงานนอกสถานที่ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศเสมอไป สร้างความพึงพอใจและยังช่วยให้งานของตนเองยังคงเดินหน้าอย่างมีคุณภาพ ไม่ต้องเสียเวลาปรับตัวใหม่ให้ยุ่งยากอีกด้วย
คำแนะนำในการทำงานแบบ Hybrid Working
- ต้องมีการวางแผนระหว่างพนักงานในแผนก หรือในองค์กรของตนเองให้ดี เช่น การกำหนดวันทำงานของแต่ละคน การสับเปลี่ยนเข้ามาอยู่ในออฟฟิศ
- ทำความเข้าใจจุดประสงค์ของการทำงานแบบ Hybrid Working ไม่ใช่การให้หยุดอยู่บ้าน แต่เป็นไลฟ์สไตล์การทำงานแนวใหม่ที่ใครอยากทำแบบนี้ต่อเรื่อย ๆ ก็ต้องตั้งใจทำงานอย่างมีคุณภาพ
- ปรับลักษณะการทำงานตามความเหมาะสม หากทดลองแล้วยังไม่ได้ตามเป้าหมายก็อาจต้องเปลี่ยนแผนใหม่
- จัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมสำหรับการทำงาน รวมถึงการประชุมพูดคุยผ่านช่องทางออนไลน์ โยเฉพาะกับบริษัทญี่ปุ่นที่อาจต้องมีประชุมข้ามประเทศ
การทำงานแบบ Hybrid Working ของบรรดาบริษัทญี่ปุ่นทั้งหลายเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมาก ซึ่งบริษัทชั้นนำจำนวนมากก็มักนิยมนำเทคนิคดังกล่าวเพื่อสร้าง Work Life Balance ที่ดีให้กับพนักงานของตนเอง เกิดความจงรักภักดีต่อองค์กร ปรับไลฟ์สไตล์การทำงานให้แตกต่างไปจากเดิม สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปจากอดีตมาจนถึงยุคใหม่ด้วย